วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

แนะนำหนังสือดีน่าอ่าน The Last Lecture

หนังสือ The Last Lecture
วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551
เมื่อกลางเดือนกันยายน ปี 2007 Dr. Randy Pausch
ศาสตราจารย์ด้านคอมพิวเตอร์คนหนึ่งของมหาวิทยาลัย
Carnegie Mellon ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นยอดเยี่ยมของ
สหรัฐอเมริกาในด้านเทคโนโลยีได้รับเชิญให้ตอบคำถาม
สมมุติว่า "ถ้าคุณรู้ว่ากำลังจะตาย คุณมีข้อคิดอุดมปัญญา (wisdom) ใดที่อยากมอบไว้ให้แก่โลก" คำถามนี้ตั้งให้เหล่า นักวิชาการชั้นนำของโลกที่ได้รับเชิญขบคิดและนำมา บรรยายในชุดการบรรยายที่เรียกว่า "Last Lecture" ของ มหาวิทยาลัย Camegie Mellon ในวันนั้นมีนักศึกษาและผู้สนใจเข้าฟังกันแน่นขนัดเป็น
พิเศษกว่า 500 คน เนื่องจาก Randy Pausch ผู้บรรยายมิได้ตอบคำถามสมมุติ หากกำลังตอบคำถาม จริงเพราะเขากำลังจะตายเพราะป่วยเป็นมะเร็งในตับอ่อน ที่ร้ายแรง เขาบรรยายได้อย่างประทับใจคนฟังมากในหัวข้อ "Really Achieving your Childhood Dreams" ซึ่งต่อมาปรากฏ ในอินเตอร์เน็ตให้คนทั้งโลกได้ชม ภายในเดือนแรกมีคน เข้าชมกว่า 1 ล้านครั้ง และในปัจจุบันมีผู้เข้าชมกว่า 6 ล้านครั้ง Randy Pausch เป็นที่ชื่นชมเพราะเขาไม่ได้รอ ความตาย หากทำให้ความเจ็บป่วยของเขามีความหมาย ต่อคนอื่น เขารณรงค์หาทุนเพื่อวิจัยมะเร็งในตับอ่อน ให้ กำลังใจเพื่อนผู้ป่วยโรคมะเร็งให้สู้ชีวิต ให้การแก่ กรรมาธิการของวุฒิสภาเพื่อสนับสนุนการให้เงินทุน สำหรับโรคมะเร็งตับอ่อน ฯลฯ รวมถึงตอบคำถามชีวิตใน นิตยสาร Time ออกโทรทัศน์รายการดังๆ ทั้งหลาย คน รู้จักเขามากที่สุดจากการบรรยาย Last Lecture หลังการบรรยายเขาเขียนหนังสือร่วมกับ Jeffrey Zaslow ชื่อ
The Last Lecture โดยเป็นเรื่องราวของชีวิตของเขา ตลอดจนเนื้อหาจากการบรรยายครั้งนั้น และหลายสิ่งที่ เขาอยากฝากให้บรรดาพ่อแม่ คณาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ สอนลูกศิษย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และคนทั่วโลกได้รับทราบสิ่ง ที่เขาได้เรียนรู้ในชีวิต 47 ปี ของเขา
หนังสือ The Last Lecture ขายดีมาก วางตลาดได้ 13 วัน 400,000 เล่ม ก็ขาดตลาดจนต้องพิมพ์ใหม่อีกหลาย
ครั้ง เป็นเบสเซลเลอร์ของนิวยอร์กอยู่นับสิบอาทิตย์ เป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วโลก แปลเป็นภาษาต่างประเทศแล้วกว่า 17 ภาษา เชื่อว่าจะขายได้นับล้านๆ เล่มแน่นอน สำหรับบ้านเราได้มีการแปลหนังสือเล่มนี้ออกมาวางตลาดแล้วในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่เพิ่งเลิกไป ผู้แปลคือวนิษา เรซ หรือหนูดี (หนังสือของเธอที่สอนเด็กให้เรียนหนังสือเป็นชื่อ "อัจฉริยะ.....เรียนสนุก" ได้รับความนิยมอย่างมากจนมีเล่ม 2 และเล่ม 3 กำลังจะตามมา) ในชื่อ "เดอะลาสต์เล็กเชอร์" และขายดีมากจนได้ลำดับต้นๆ ของยอดขายหนังสือใหม่ซึ่งออกในงานนี้
เสน่ห์ของ Randy Pausch อยู่ตรงที่เขาไม่มีความขมขื่นกับชะตาชีวิต แต่หากเต็มไปด้วยความตื้นตันใจกับความช่วยเหลือที่ทุกคนให้แก่เขา หลายคนที่อ่านต้องหัวเราะทั้งน้ำตาด้วยอารมณ์ขันและความโหดร้ายของชะตากรรม และด้วยความทึ่งในข้อคิดในเรื่องชีวิตและการใช้ชีวิตเช่น "คนอย่างผมถ้าไม่ใกล้ตายเขาก็คงไม่เชิญมาพูด Last Lecture แน่นอน" "ตอนนี้มีก้อนเนื้องอกอยู่บนตับผม 10
จุด เมื่อเกือบ 2 ปีก่อนหมอเคยบอกว่าอยู่ได้อีกประมาณ 3-6 เดือน คราวนี้คุณก็ลองใช้คณิตศาสตร์ง่ายๆ ตัดสิน แล้วกันว่าผมพอสู้มันได้ไหม" "คุณไม่มีทางรู้ว่าวันใดคุณจะ รู้ว่ามีเวลาเหลืออยู่น้อยกว่าที่คุณคิด"
เขาบอกว่าเขาเกิดมาพร้อมกับลอตเตอรี่ใบที่ถูกรางวัล พ่อ แม่ของเขาเลี้ยงดูเขาอย่างสนับสนุนการสร้างจินตนาการของลูกท่ามกลางความรัก (อนุญาตให้ลูกเขียนภาพบนฝาผนังห้องนอนได้ตามจินตนาการ) เล่าเรื่องราวอย่างสนุก ให้ลูกฟัง พร้อมกับมีพจนานุกรมไว้อ้างอิงเสมอข้างโต๊ะกินข้าวเพื่อยั่วยุให้ลูกค้นคว้า และสอนเรื่องคุณค่าให้แก่ลูกๆ ในเรื่องความมัธยัสถ์ การให้ เช่น ค้ำประกันการสร้างหอพักในชนบทของประเทศไทยซึ่งสร้างขึ้นเพื่อช่วยให้เด็กหญิงไม่ต้องลาออกจากโรงเรียนและกลายเป็นหญิงบริการ Randy Pausch เตรียมตัวตายอย่างละเอียดรอบคอบ เพราะภรรยาเขาในวัย 41 ปี ต้องเลี้ยงลูกต่อไปถึง 3 คน คือในวัย 6 ขอบ 3 ขวบ และ 22 เดือน เขาเล่าว่าต้องแอบซ่อนน้ำตาเมื่อนึกถึงว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นลูกเขาเติบโตเป็นวัยรุ่น เขาพูดคุยกับคนที่พ่อแม่เสียไปตั้งแต่ยังเล็กๆ และพบว่าสิ่ง
สำคัญสำหรับคนเหล่านี้ก็คือการที่เขารู้ว่าพ่อแม่รักเขามาก และเขาเป็นคนสำคัญและพิเศษของพ่อแม่อย่างแท้จริง ดังนั้น เขาจึงเขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อให้ลูกอ่านเมื่อโตขึ้น ร่วมสร้างประสบการณ์แปลกๆ กับลูกเพื่อให้มีความทรงจำ (ว่ายน้ำร่วมกับลูกและปลาโลมา) มีรูปถ่ายและวิดีโอมากมาย รวมทั้งจัดทำวิดีโอพิเศษขึ้นเพื่อให้ลูกแต่ละคนได้ รู้ว่าเขารักพวกเขามากเพียงใด หนังสือเล่มนี้ให้วิธีการเลี้ยงลูกที่น่าสนใจ ตลอดจนวิธีการสอนของเขาในการดำรงชีวิต แก้ไขปัญหา สร้างทีมเวิร์ก สร้างสมาชิกที่มีคุณค่าของสังคม ฯลฯ หรือแม้แต่การ กล่าวคำขอโทษ
สิ่งสำคัญที่ Pausch ทำให้ผู้อ่านต้องคิดก็คือการตระหนัก ถึงความตายอยู่เสมอ การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและอย่าง ตระหนักถึงเวลาที่ทุกคนมีอยู่อย่างจำกัดบนโลกใบนี้ เขาบอกว่าในแง่มุมหนึ่งเขาโชคดีที่ยังรู้ว่าจะมีเวลาเหลือ เท่าใดอยู่ในโลกนี้จนมีโอกาสเตรียมการสำหรับครอบครัว ซึ่งดีกว่าการตายด้วยอุบัติเหตุเสียชีวิตไปทันที ดังนั้น ข้อคิดเช่นนี้จึงนำไปสู่ข้อสรุปว่าทุกคนต้องเตรียมตัวตาย เสมอเพราะอุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้นได้เสมอกับทุกคน Pausch บอกว่า Life is to be lived (ใช้ชีวิตให้มีชีวิต) ไม่ว่าชีวิตจะยาวหรือสั้นก็ตามที คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณมากนัก เขาได้ตายจากไปเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านไป โดยทิ้งผลงานทางวิชาการด้าน virtual reality
และทิ้ง "ข้อคิดอันอุดมด้วยปัญญา" ไว้ให้พวกเราขบคิด ถ้าท่านจะอ่านหนังสือที่มีคุณค่าสักเล่มเดียวในปีนี้ ผมขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ที่แปลได้อย่างงดงามครับ
คัดลอกจากมติชน เขียนโดย วรากรณ์ สามโกเศศ

ผมอ่านแล้ว 1 รอบ ดีมากครับ ได้แง่คิดดีๆ มากมาย


ดู VDO ที่เขายบรรยายได้ที่ link นีครับ


http://www.scriptdd.com/diary/the_last_lecture.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น